โยคะ
โยคะเป็นวิถีแห่งการฝึกตนเองที่มีมาแต่สมัยโบราณ มีแหล่งกำเนิดที่อินเดีย ซึ่งปัจจุบันมีรูปแบบการสอนที่แตกต่างกันไป และเริ่มต้นผู้เรียนต่างเข้าใจว่าโยคะอาสนะคือโยคะ และผู้เรียนต่างมุ่งหวังประโยชน์โยคะเพื่อสุขภาพดี
โยคะคือการฝึกปฏิบัติ เราต้องเรียนจากการปฏิบัติฝึกฝนจึงจะเรียกว่าโยคะ และโยคะ เป้าหมายที่แท้จริงของโยคะคือการฝึกตน ให้เกิดศักยภาพสูงสุด เพื่อนำไปสู่การควบคุมตนเอง และความอิสระ หรือความหลุดพ้น
ท่านมหามุนีปตัญชลี (Patanjali) ผู้ที่ได้รับสมญานามว่า “บิดาแห่งโยคะ” ท่านเป็นผู้ที่รวมรวมหลักและท่าปฏิบัติโยคะ ซึ่งเราเรียกว่า “โยคะสูตร” โยคะมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสฤกติว่า ยุชร หรือ ยุช หมายถึงการรวมกัน การเชื่อมโยง หรือการโยงเข้าหากัน โยคะถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่กล่าวถึงการควบคุมร่างกายและจิตของมนุษย์ เพื่อจุดประสงค์หลักเพื่อให้ผู้ปฏิบัติตามหลักได้บรรลุถึงระดับจิตใจที่เป็นอิสระ และปราศจากเครื่องผูกพันทั้งปวง หลักของโยคะมีมาก่อนสมัยพุทธกาล โยคะไม่ใช่ศาสนา แต่ก็เป็นแนวทางของหลายศาสนานำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตได้
ผู้สนใจโยคะเบื้องต้น มักเข้าใจว่า การฝึกทำอาสนะ คือ ทั้งหมดของการฝึกทำโยคะ! ในความเป็นจริง โยคะประกอบด้วยขั้นตอน 8 ประการ ที่เอื้อ ซึ่งกันและกัน ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากโยคะ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และฝึกองค์ประกอบทั้ง 8 ประการนี้ ควบคู่กันไป เราสามารถเปรียบอัษฎางค์โยคะกับกงล้อ 8 ซี่ของวงล้อ ล้อที่ประกอบด้วยกงที่สมบูรณ์เท่านั้น ที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมายได้
- อหิงสา การไม่ทำร้ายชีวิต การไม่เบียดเบียน การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง
- สัตย์ การรักษาสัตย์ ไม่โกหก
- อัสเตยะ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ละโมบ ไม่ตกเป็นเหยื่อของความโลภ
- พรหมจรรย์ การประพฤติตนไปบนหนทางแห่งพรหม (พรหม จรรยา)
- อปริครหะ คือการไม่ถือครองวัตถุเกินความจำเป็น
2 นิยมะ คือวินัยต่อตนเอง มีอยู่ 5 ประการ เช่นกัน
- เศาจะ หมั่นรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งกาย – ใจ
- สันโดษ ฝึกพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
- ตบะ มีความอดทน อดกลั้น
- สวารยายะ หมั่นศึกษา เรียนรู้ ทั้งเรียนรู้เกี่ยวกับโยคะ และ เรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง
- อศวรปณิธาน ฝึกเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน มีความศรัทธาในโยคะ ที่เรากำลังฝึกปฏิบัติ
3. อาสนะ คือการฝึกฝนร่างกายให้มีคามสมดุล
4. ปราณยามะ คือการฝึกกำหนด ควบคุม ลมหายใจ เพื่อการควบคุมอารมณ์ของตนให้สงบ
5. ปรัทยาหาระ คือการฝึกสำรวมอินทรีย์ ฝึกควบคุมประสาทสัมผัสทั้ง 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ จิต
6. ธารณะ คือการฝึกสติให้กำหนดรู้อยู่กับสิ่งใดสิ่งเดียว อยู่กับเรื่องใดเรื่องเดียว Concentration
7. ฌาน คือการเพ่งจ้องอยู่กับสิ่งที่กำหนด จนดื่มด่ำ หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น Meditation
8. สมาธิ คือการฝึกจิต การยกระดับจิตให้สูงขึ้น เป็นสภาวะที่พ้นไปจากระดับจิตทั่วไป Trans Consciousness
ปัจจุบันมีผู้สนใจเรียนโยคะมากขึ้น เพราะโยคะสามารถช่วยเหลือเยียวยาได้หลายทาง ไม่ว่าจะสุขภาพกายหรือจิตโยคะต่างมีผลประโยชน์ที่สูงสุดต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ โยคะจึงให้ประโยชน์ต่อตนผู้ฝึกและผู้อื่น ผู้ฝึกจึงได้รับ ประโยชน์ต่างระดับของความสนใจหรือผู้เรียนศึกษาอย่างจริงจัง
ส่วนมากผู้ที่มาฝึกโยคะ เริ่มเรียนเพราะต้องการผลประโยชน์ทางสุขภาพทางกาย และอาจเข้าใจว่าโยคะคือการออกกำลังกาย และเมื่อผู้เรียนสนใจมากระดับสูงขึ้นไป จะเข้าใจโยคะ ถึงขั้นศึกษาอย่างจริงจัง นั่นก็เนื่องจากเขาเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือการหลุดพ้นและอิสระจากความทุกข์ สุขภาพร่างกาย และจิตใจ ถือว่าเป็นผลพลอยได้ด้วยซ้ำไป
ไม่ว่าท่านจะสนใจอยู่ระดับไหนก็ตาม เพราะประโยชน์ที่สูงสุดต่อสุขภาพดี ความสุขสงบต่อตนเองและผู้คนรอบข้าง โยคะจึงเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยและเราผู้เรียนจะได้รับผลประโยชน์จากการปฏิบัติโยคะ ไม่ใช่จากการอ่านจากตำรา และไม่ใช่ปาฏิหาริย์ใด ๆ ทั้งนั้น โยคะเกิดผลต่อเมื่อเราปฏิบัติต่อเนื่อง โยคะอาสนะเป็นวิถีการพึ่งตนเองท่านสามารถปฏิบัติด้วยตัวเองได้ เมื่อชำนาญแล้ว
ข้อแนะนำในการฝึกโยคะ
1. ควรฝึกในที่สะอาดและสงบ ปราศจากการรบกวน อากาศถ่ายเทสะดวก
2. ควรฝึกบนพื้นที่เรียบและอ่อนนุ่ม
3. ก่อนการฝึกควรขับถ่ายให้เรียบร้อยเสียก่อน
4. หากอาบน้ำก่อนฝึกจะฝึกได้ดีขึ้น และหลังฝึก 15 นาทีควรอาบน้ำ
5. ควรฝึกในขณะที่ท้องว่าง
6. ในการฝึกหายใจผ่านรูจมูกเท่านั้นไม่ควรกลั้นหายใจ
7. ควรลืมตาระหว่างการฝึก
8. ควรจบการฝึกด้วยท่าศพทุกครั้งเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า
1. ควรฝึกในที่สะอาดและสงบ ปราศจากการรบกวน อากาศถ่ายเทสะดวก
2. ควรฝึกบนพื้นที่เรียบและอ่อนนุ่ม
3. ก่อนการฝึกควรขับถ่ายให้เรียบร้อยเสียก่อน
4. หากอาบน้ำก่อนฝึกจะฝึกได้ดีขึ้น และหลังฝึก 15 นาทีควรอาบน้ำ
5. ควรฝึกในขณะที่ท้องว่าง
6. ในการฝึกหายใจผ่านรูจมูกเท่านั้นไม่ควรกลั้นหายใจ
7. ควรลืมตาระหว่างการฝึก
8. ควรจบการฝึกด้วยท่าศพทุกครั้งเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า
ข้อดีของโยคะ
1. ตั้งแต่การฟื้นฟูสมดุลการทรงตัว ความยืดหยุ่น ความแม่นยำ
2. สุขภาพ และร่างกายที่แข็งแรง
3. การสร้างความสงบด้านจิตใจ ความสมดุลทางอารมณ์ และความแข็งแรง"ภายใน"
4. ในด้านร่างกาย ท่าโยคะช่วยกระตุ้นต่อม อวัยวะกล้ามเนื้อ และผ่อนคลายความปวดเมื่อย
5. ทำให้การย่อยอาหารและการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น อาการอันมีผลมาจากความเครียด เช่น การนอนไม่หลับ ความเหนื่อยล้า กล้ามเนื้อกระตุก ความกังวล และอาการอาหารไม่ย่อย จะดีขึ้นมาก
6. การฝึกท่าโยคะอย่างต่อเนื่องจะมีผลอย่างล้ำลึกต่อร่างกายภายในโดยทำให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ สมาธิ และความมั่นใจแถมยังใช้อุปกรณ์น้อย
7. ใช้สถานที่ในการฝึกก็ไม่มากมาย
8. ปฎิบัติได้ทุกโอกาส
1. ตั้งแต่การฟื้นฟูสมดุลการทรงตัว ความยืดหยุ่น ความแม่นยำ
2. สุขภาพ และร่างกายที่แข็งแรง
3. การสร้างความสงบด้านจิตใจ ความสมดุลทางอารมณ์ และความแข็งแรง"ภายใน"
4. ในด้านร่างกาย ท่าโยคะช่วยกระตุ้นต่อม อวัยวะกล้ามเนื้อ และผ่อนคลายความปวดเมื่อย
5. ทำให้การย่อยอาหารและการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น อาการอันมีผลมาจากความเครียด เช่น การนอนไม่หลับ ความเหนื่อยล้า กล้ามเนื้อกระตุก ความกังวล และอาการอาหารไม่ย่อย จะดีขึ้นมาก
6. การฝึกท่าโยคะอย่างต่อเนื่องจะมีผลอย่างล้ำลึกต่อร่างกายภายในโดยทำให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ สมาธิ และความมั่นใจแถมยังใช้อุปกรณ์น้อย
7. ใช้สถานที่ในการฝึกก็ไม่มากมาย
8. ปฎิบัติได้ทุกโอกาส
ประโยชน์ของโยคะโดยรวม
โยคะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทั้งร่างกาย และจิตใจ เพราะเมื่อเรากำหนดลมหายใจ ช่วยให้ใจมีสมาธิ จิตใจจะผ่อนคลายไปพร้อม ๆ กับร่างกาย โยคะจึงเป็นกายบำบัดและจิตบำบัดในเวลาเดียวกัน
อาสนะของโยคะจะมีผลต่อระบบของร่างกายทั้งหมด เช่น ระบบกระดูกและโดยเฉพาะกระดูกสันหลัง ระบบกล้ามเนื้อ ระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง ระบบประสาทและสมอง ระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งการฝึกโยคะอาสนะจะจัดความยืดหยุ่นและจัดความสมดุลให้ทุกระบบมีความสมดุลและกระตุ้นการทำงานของระบบนั้นให้สมบูรณ์ขึ้น และนั่นหมายถึง การที่ร่างกายบำบัดตัวเองด้วยระบบของมันเอง ร่างกายสามารถบำบัดตัวเองจากสภาวะของอาการเจ็บป่วยในทุกระบบที่สภาวะร่างกายขาดความสมดุลได้ ซึ่งหากผู้ฝึกอย่างต่อเนื่องจะทำให้อาการต่าง ๆทุเลาลงหรือหายจากโรคได้
โยคะอาสนะถือว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งจะมีผลช่วยทำให้ร่างกาย ได้จัดระบบร่างกายอย่างสมดุลและมีผลต่อความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งจะแตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปดังนี้
โยคะอาสนะ และ ปราณยามะ การหายใจลึก ยาว ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ปอดขยายการหายใจมากกว่าปกติถึง 6 เท่า ทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ระบบการหายใจจะโล่งขึ้น เป็นการนวดระบบอวัยวะภายใน จึงทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดี
โยคะคือการฝึกตนที่มีปรัชญาจากโยคะสูตร ของมหามุนีปตัญชลี ผู้ฝึกตนในวิถีของโยคะ ประโยชน์แห่งความสุขสงบของการดำเนินชีวิตชีวิตทุกรูปแบบ ทุกวิถีชีวิตมนุษย์ วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา ได้นำโยคะมาปรับใช้ในการการดำเนินชีวิต ตามสภาวะพื้นฐาน และโยคะคือผลประโยชน์ของมนุษย์ที่พึงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของชีวิต
ที่มา : http://www.beyogachiangmai.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น